หลังจากทำให้ผู้เล่นทั่วโลกหลอนกันถ้วนหน้าในสองภาคก่อนหน้า ซีรีส์ Little Nightmares จาก Bandai Namco และ Supermassive Games ก็กลับมาอีกครั้งในภาค Little Nightmares III แถมรอบนี้ยังมีชื่อไทยมาด้วยว่า “สิ่งเล็กๆ ในห้วงฝันร้าย III” ที่มาพร้อมทั้งความสยอง ความเศร้า และความงดงามในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์นี้ แต่คราวนี้ฝันร้ายของเราจะต้องเผชิญหน้ากันแบบเป็นคู่ โดยตัวเกมนั้นมีวางจำหน่ายให้เล่นไปแล้วและลงให้กับ PC Steam, PS5, PS4, Xbox Series X|S, Switch และ Switch 2
เรื่องราวของเกมในภาคนี้ Little Nightmares III พาผู้เล่นเข้าสู่โลกใหม่ชื่อว่า The Spiral ดินแดนที่เต็มไปด้วยเศษซากของอารยธรรมในอดีต ที่ทั้งบิดเบี้ยวและน่ากลัวเกินกว่าจะเข้าใจ เราได้รับบทเป็น Low และ Alone เด็กสองคนที่ติดอยู่ในวงจรแห่งฝันร้าย พยายามหาทางหนีออกจากโลกใบนี้โดยการเดินทางผ่านเมืองต่างๆ ที่ถูกกลืนกินด้วยความบิดเบือนและสิ้นหวัง สิ่งที่ทำให้ภาคนี้โดดเด่นคือการเล่าเรื่องแบบคู่ขนานและสัมพันธ์กันระหว่างสองตัวละคร ทั้งสองมีบุคลิกและมุมมองที่ต่างกัน แต่ต้องพึ่งพากันเพื่อเอาชีวิตรอด การสื่อสารผ่านภาษากาย เสียงลมหายใจ หรือการหยิบมือกันหนีจากภัยมืด สร้างอารมณ์ร่วมที่มากกว่าแค่เกมสยอง แต่มันคือเรื่องราวของความหวังท่ามกลางฝันร้าย ตัวเกมยังไม่บอกว่าทั้งคู่เป็นใคร แต่จะคอยบอกเล่าผ่านเรื่องราวไปเรื่อย ๆ ให้เราได้เห็นผ่านปริศนาต่าง ๆ และการเดินทางของทั้งคู่ไปจนสุดปลายทาง
ทางด้านในเรื่องของกราฟิกนั้น แม้จะยังคงโทนศิลป์ที่ซีรีส์นี้เป็นที่รู้จักและทำมันออกมาได้ดี แต่ Little Nightmares III ได้ก้าวไปอีกระดับด้วยเอนจินใหม่ของ Supermassive Games ที่สร้างบรรยากาศได้สมจริงและลึกล้ำกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นแสงเงา การสะท้อนของแสงไฟในอุโมงค์ หรือเสียงฝีเท้าที่ดังสะท้อนในห้องโล่ง ทุกองค์ประกอบล้วนทำให้ผู้เล่นรู้สึกถูกกลืนไปในโลกนั้นจริงๆ
เมืองในแต่ละด่าน เช่น Necropolis เมืองแห่งเงา หรือ The Workshop ที่เต็มไปด้วยเครื่องจักรและตุ๊กตาบิดเบี้ยว ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน มีทั้งรายละเอียดเล็กน้อยที่เล่าเรื่องโดยไม่ต้องใช้คำพูด เหมือนเรากำลังเดินผ่านพิพิธภัณฑ์ของความทรงจำที่ถูกหลงลืมไปนาน ซึ่งส่วนตัวแล้วชอบบรรยากาศของเกมนี้มาก ทั้งในส่วนที่เป็นเหมือนกับฝันร้ายอันอึมครึม ความสยอง และบรรยากาศของการผ่อนคลายในบางช่วง แต่ละโซนก็ทำสภาพแวดล้อมออกมาได้มีเอกลักษณ์ รวม ๆ แล้วแล้วงานภาพและเสียงยังทำออกมาได้ดีน่าชื่นชม
พูดถึงเสียงใน Little Nightmares III คืออาวุธหลักที่ใช้ขับเคลื่อนอารมณ์ของเกม ตั้งแต่เสียงลมหายใจของเด็ก เสียงไม้กระดานที่ลั่นในความมืด ไปจนถึงเสียงฝีเท้าของศัตรูที่ไล่ตามอยู่ในเงา ทุกอย่างถูกร้อยเรียงอย่างมีจังหวะและตั้งใจ ดนตรีประกอบโดย Tobias Lilja กลับมารับหน้าที่อีกครั้ง เพิ่มท่วงทำนองที่ทั้งเศร้าและหลอนในเวลาเดียวกัน แถมบางช่วงของเกมเลือกที่จะปล่อยให้เงียบเพื่อให้ผู้เล่นจินตนาการถึงสิ่งที่กำลังซ่อนอยู่ในความมืด ซึ่งกลับน่ากลัวกว่าการเห็นศัตรูตรงหน้าเสียอีก ความเงียบในเกมนี้จึงกลายเป็นศิลปะของความหวาดกลัวที่ทรงพลังได้เป็นอย่างดี
ทางด้านของเกมเพลย์นั้นคงยังรูปแบบการเล่นแบบที่เราคุ้นเคย คือผจญภัยไปในมุมมองด้านข้างเรื่อย ๆ แต่จุดเปลี่ยนสำคัญของภาคนี้คือการเล่นแบบ Co-op ที่ให้ผู้เล่นควบคุม Low และ Alone ได้พร้อมกัน หรือจะเล่นคนเดียวก็ได้โดยให้ AI อีกคนช่วยในบางจังหวะ กลไกใหม่เหล่านี้ทำให้เกมมีการแก้ปริศนาที่ซับซ้อนและมีชั้นเชิงกว่าเดิม เช่น การปีนป่ายร่วมกัน การดึงคันโยกพร้อมกัน หรือแม้แต่การสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูด นอกจากนี้เกมยังมีระบบอาวุธเฉพาะตัว ที่เพิ่มความแตกต่างของแต่ละตัวละคร โดย Low มีธนูที่ใช้ยิงกลไกหรือศัตรูบางชนิด ส่วน Alone มีประแจที่ใช้ทุบทำลายสิ่งกีดขวางและป้องกันตนเอง การผสมผสานของทั้งสองทำให้การต่อสู้หรือเอาชีวิตรอดมีมิติและกลยุทธ์มากกว่าเดิม
ระบบ AI คู่หูในโหมดเล่นคนเดียวก็ได้รับการออกแบบอย่างชาญฉลาด ไม่ค่อยสร้างความรำคาญเหมือนเกมแนวเดียวกัน ตัวละครจะปรับตัวตามจังหวะของผู้เล่น ช่วยแก้ปริศนา และตอบสนองตามสถานการณ์ได้สมจริงจนน่าประทับใจ ในระหว่างการเล่นนั้นแทบจะไม่เจอ AI แสดงอาการเอ๋อ ๆ ให้เห็นเลย แต่อย่างไรก็ตามการเล่นเกมนี้กับเพื่อนคิดว่าน่าจะเป็นอะไรที่เพิ่มความสนุกได้มากกว่าเล่นคนเดียว ยิ่งเกมมีระบบ Friend Pass ด้วยแล้ว ทำให้เราซื้อเกมแค่บัญชีเดียวก็พอ หลังจากนั้นก็เชิญเพื่อนมาเล่นด้วยกันได้โดยที่เพื่อนเราไม่ต้องซื้อเกมก็เล่นได้นั่นเอง แต่ข้อเสียก็คือเกมไม่รองรับการเล่น Co-op แบบออฟไลน์
สรุปภาพรวมของเกมนั้น Little Nightmares III คือการสานต่อฝันร้ายที่ทั้งงดงามและเจ็บปวด เป็นเกมที่ไม่เพียงเล่าเรื่องสยองขวัญ แต่ยังสะท้อนความโดดเดี่ยว ความหวัง และความกล้าที่ต้องมีเมื่อต้องเผชิญกับสิ่งที่เราไม่เข้าใจ มันคือภาคต่อที่เติบโตขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งในแง่การเล่าเรื่อง การออกแบบ และประสบการณ์ทางอารมณ์ ส่วนตัวคิดว่าเป็นเกมเล็ก ๆ ที่ดีมากเกมหนึ่งเลย นอกจากนี้ตัวเกมยังมีรองรับการแปลเป็นภาษาไทยด้วย แม้จะไม่ได้มีบทสนทนาที่เยอะอะไรมาก แต่ก็ทำให้หลายคนเข้าถึงเกมได้ง่ายขึ้นทั้งพวกเมนูหรือการช่วยสอนระบบต่างๆ เอาเป็นว่าถ้าใครยังไม่ได้ลองถือเป็นอีกเกมที่แนะนำให้ไปหามาเล่นกันครับ แถมไม่จำเป็นต้องเล่น 2 ภาคก่อนหน้านี้ก็ได้เพราะเรื่องราวไม่ได้เกี่ยวข้องกันแต่จะมีพวกอีสเตอร์เอ้กเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
No Game No Life !!
