หลังจาก Death Stranding เกมแรกของฮิเดโอะ โคจิมะ (Kojima Productions) ได้ท้าทายความเข้าใจของคนเล่นเกมทั่วโลกด้วยแนวคิด “เกมส่งของ” ที่กลับกลายเป็นบทสะท้อนลึกซึ้งของการเชื่อมโยงและความเหงา แม้จะไม่ได้ถูกใจเกมเมอร์ทุกคนแต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปอย่างงดงาม ตอนนี้ Death Stranding 2: On The Beach กลับมาพร้อมกับความทะเยอทะยานใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม และลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิม หลังจากที่เล่นไปเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราก็มีรีวิวและความรู้สึกของเกมนี้มาให้อ่านกันเหมือนเดิมครับ
Death Stranding 2: On The Beach เกมที่เต็มไปด้วยมนุษยธรรมและคำถามทางปรัชญา ด้วยเรื่องราวที่อาจจะเข้าใจยากไปซักนิดสำหรับหลายคน รวมถึงเกมเพลย์การส่งของและการเชื่อมต่อผู้คนเข้าด้วยกัน แน่นอนว่าหากใครที่เล่นภาคแรกแล้วชอบก็จะยังหลงรักและสนุกไปกับเกมในภาคใหม่นี้ แต่ถ้าใครที่ไม่ชอบเราก็บอกเลยว่าเกมเพลย์กับแนวการเล่นของเกมนั้นหลักๆ แล้วยังคงเดิมทั้งหมด ซึ่งสรุปให้ตั้งแต่ตรงนี้ได้เลยว่ามันเป็นเกมเฉพาะทางจริงๆ
เรื่องราวอันลึกซึ้งและเข้มข้น
Death Stranding 2 ดำเนินเรื่องต่อจากเหตุการณ์ในภาคแรก 11 เดือน หลังจากที่ แซม เชื่อมต่ออเมริกาเหนือผ่าน Chiral Network เข้าด้วยกันแล้ว แซมก็ได้หนีออกจากองค์กร Bridges ไปพร้อมกับ Lou หรือทารกน้อย Bridge baby (BB) ที่ร่วมเดินทางด้วยกัน ทั้งคู่ซ่อนตัวอยู่กันอย่างเงียบสงบจนลูเติบโตขึ้น จนกระทั่ง Fragile แวะมาหาและเสนองานใหม่ให้เพื่อเชื่อมเครือข่ายของเมริกากับเม็กซิโกเข้าด้วยกัน แต่ทว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นและเหตุการณ์ต่างๆ ก็เกิดขึ้นมากมายจนแซมต้องออกเดินทางเพื่อเชื่อมโลกกันอีกครั้ง เอาเป็นว่าขอไม่สปอยเนื้อหาแล้วกันครับอยากให้ไปสนุกกันด้วยตัวเอง แล้วก็ใครที่ลืมเรื่องราวไปแล้วตัวเกมมี Recap ให้กดดูย้อนได้
ความรู้สึกต่อเนื้อเรื่องในภาคนี้บอกเลยว่ามีหลายอารมณ์มากๆ จากการเดินทางสุดแสนจะเหงาในภาคที่แล้ว พอมาภาคนี้มันถูกเติมเต็มด้วยมิตรภาพครั้งใหม่ การมาของตัวละครใหม่ๆ การได้ใช้เวลาร่วมกันในการเดินทางบางส่วนมันทำให้รู้สึกผูกพันธ์ แต่ด้วยการเล่าเรื่องในรูปแบบเหมือนภาพยนต์มันเลยทำให้มีหลายเรื่องที่เราคาดไม่ถึง เต็มไปด้วยหลายซีนอารมณ์ มีการเฉลยหลายสิ่งจากภาคแรกแต่ก็เริ่มปมคำถามใหม่ขึ้นมาอีกเพียบ ในภาคนี้ถ้าใครฟังไม่ทันหรือยังงงๆ กับบทสนทนาต่างๆ ก็จะมี Corpus หรือบันทึกข้อความให้เข้าไปอ่านทำความเข้าใจกันดี ถือเป็นสิ่งที่ดีเลยทีเดียว
เกมเพลย์ที่เข้าใจผู้เล่นมากขึ้น แต่ยังคงเอกลักษณ์
อย่างที่บอกไปแล้วว่ารูปแบบเกมเพลย์หลักยังคงเดิมคือการส่งของและเชื่อมสถานีต่างๆ ซึ่งในภาคแรกหลายคนรู้สึกว่าเกมเพลย์คือการ “เดินช้าๆ ล้มง่ายๆ” ซึ่งในภาค 2 นี้ ทีมพัฒนาได้ออกแบบกลไกใหม่ที่ช่วยให้การเคลื่อนไหวของแซมลื่นไหลขึ้น และเปิดโอกาสให้ผู้เล่นมีทางเลือกในการสำรวจโลกมากกว่าแค่เดินตรงจากจุด A ไป B ยังมียานพาหนะแบบใหม่ๆ ถูกเพิ่มเข้ามา มีอุปกรณ์ช่วยเหลือมากมายที่เราจะต้องปลดล็อคมันออกมาจากการทำภารกิจส่งของตามออร์เดอร์ของสถานีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชุดสวมใส่ อุปกรณ์ช่วยเหลือในการส่งของ ไปจนถึงอาวุธ ระเบิด และอีกมากมาย
บรรดาสิ่งก่อสร้างใหม่ๆ ในภาคนี้ก็มีให้เห็นกันเพียบ เรียกว่าช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้อย่างดีเลยจริงๆ โดยเกมยังคงใช้รูปแบบเดิมคือการสร้างสิ่งของต่างๆ ทั้งสะพาน ถนน เสาที่ชาร์ทรถ ไปจนถึงสลิงช่วยเคลื่อนที่ข้ามภูเขากันแบบสะดวกขึ้น หรือแม้แต่โมโนเรลที่เอาไว้ขนของกันแบบเต็มตู้คอนเทนเนอร์ก็มี แล้วไหนจะจุดจั้มป์สำหรับวาร์ปในพื้นที่ได้อีก ใครอยากรู้ว่ามีอะไรที่สร้างได้ก็คงต้องเข้าไปสัมผัสกันเองภายในเกม ซึ่งคอนเซ็ปต์ที่ชอบมากของเกมนี้ก็คือการช่วยเหลือร่วมมือกันสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ กับผู้เล่นคนอื่นๆ แบบไม่เห็นตัวกัน มันเหมือนเป็นการเชื่อมโยงผู้เล่นทั้งโลกจริงๆ เพราะสิ่งที่สร้างขึ้นมาผู้เล่นคนอื่นๆ ในเกมก็สามารถมองเห็นและใช้งานได้เช่นกัน เช่น เมื่อเราไปเจอแม่น้ำก็สร้างสะพานข้ามแล้วคนอื่นมาใช้ต่อได้ หรือเวลาที่เราปืนเขาแล้วมีบันไดของคนอื่นวางไว้ให้ ส่วนพวกถนนที่ใช้ทรัพยากรในการสร้างเยอะก็สามารถเข้าไปช่วยกันสร้างได้คนละไม้คนละมือ เป็นต้น ผู้เขียนรู้สึกว่าชอบมันมากจริงๆ กับระบบนี้ครับ
นอกจากการส่งของแล้ว ในภาคนี้ผู้เขียนรู้สึกว่าชอบที่ตัวเกมมีการเพิ่มความเป็นแอคชั่นเข้ามาตั้งแต่เริ่ม ทำให้คนที่ชอบการต่อสู้ดูมีอะไรให้ทำเยอะขึ้นกว่าภาคก่อน มีให้ถือปืนถือระเบิดกันตั้งแต่เริ่ม การลุยแคมป์ศัตรูก็เลือกได้ที่จะลอบเร้นหรือยิงกันแบบยับๆ มีอาวุธมีอุปกรณ์ช่วยต่อสู้ให้ใช้งานกันเพียบ การจัดการศัตรูที่เป็นคนก็แบบหนึ่ง การลุยกับพวก BT ก็แบบหนึ่ง ยิ่งพวกตัวใหญ่ๆ หรือระดับบอสนี่สู้กันแบบตื่นเต้นสะใจมาก เรียกง่ายๆ มันดูมีสีสันกว่าภาคแรกแบบเห็นได้ชัด ส่วนถ้าใครอย่างฝึกการต่อสู้ก็มีห้อง VR ให้ไปทดลองใช้อาวุธกันได้ด้วย
กราฟิกที่เกินคำว่าตระการตา
สิ่งหนึ่งที่ประทับใจตั้งแต่ฉากแรกของเกมเลยก็คือเรื่องกราฟิกงานภาพนี่แหละครับ อะไรจะสวยงาม คมชัด และละเอียดได้ถึงขนาดนั้น แม้ผู้เขียนจะเล่นด้วยเครื่อง PS5 ธรรมดา โดยเกมใช้เอนจิน Decima ในการพัฒนาซึ่งสร้างเทกเจอร์ พื้นผิว แสงเงา และการโมเคปตัวละครโมเดลต่างๆ ออกมาได้เหมือนจริงมากๆ ไม่ว่าแต่ละพื้นที่ของเกมจะแตกต่างกันขนาดไหน ทั้งพื้นที่ทะเลทราย ป่า ภูเขา ก้อนหิน หิมะ ทุกที่ทำได้ยอดเยี่ยม โดยที่ตลอดทั้งเกมที่เล่นมานั้นนอกจากภาพจะสวยงามแล้วส่วนของเฟรมเรตเองก็ลื่นไหลสุดๆ ยิ่งถ้าใครเล่นบน PS5 PRO รับรองว่าฟินตาแตกแน่ๆ
เสียงประกอบและดนตรีของเกมนั้นเป็นสิ่งที่ Kojima Productions ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน ในภาคนี้ยังได้ร่วมงานกับศิลปินอินดี้อีกหลายรายจากทั่วโลก เพลงของเกมไม่ได้เป็นแค่เพลงประกอบฉากเท่านั้น แต่กลายเป็น “ตัวเล่าเรื่อง” ด้วยตัวเอง โดยมีหลายช่วงที่เพลงขึ้นมาในจังหวะที่พอดีเกินจริง จนผู้เล่นอาจน้ำตาคลอโดยไม่รู้ตัว แถมในฉากพื้นที่ใหญ่ๆ จังหวะและทำนองของเพลงจะมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วยตามการกระทำของผู้เล่น เป็นต้น
สรุปภาพรวม
Death Stranding 2: On The Beach ไม่ได้เป็นเกมที่ทุกคนจะหลงรักทันที แต่มันคือเกมที่ผู้เล่นต้องใช้เวลาอยู่กับเกมพอสมควร การสำรวจ การเดินทาง และมิตรภาพความผูกพันธ์คือสิ่งที่เป็นมากกว่าการส่งของเชื่อมสถานี งานภาพและเสียงเพลงประกอบทำได้ยอดเยี่ยม ประสิทธิภาพของเกมก็ทำให้เล่นได้แบบไหลลื่นไม่ติดขัด ผู้เขียนนี่อยากให้เกมนี้มีซับไทยจริงๆ และขอย้ำอีกครั้งว่าเกมนี้ไม่เหมาะกับทุกคน ใครที่เล่นภาคแรกแล้วไม่ชอบก็ข้ามเกมนี้ไปได้เลยครับ ส่วนคนที่ชอบเกมนี้อยู่แล้วเน้นเลยสั้นๆ ยิ่งต้องไม่พลาด!!
นักเขียนยุคบุกเบิกที่เล่นเกมมันทุกแพลตฟอร์ม เล่นทุกวัน เล่นมันทุกแนววววว