263 views

[Review] Cloud III หูฟังตัวล่าสุดจาก HyperX ที่มาพร้อมการปรับปรุงใหม่และสวมใส่สบายมาก

หลังจากเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2015 เป็นเวลากว่า 8 ปีแล้วที่หูฟังเกมมิ่ง Cloud II จาก HyperX นั้นเป็นที่ชื่นชอบและยอมรับจากบรรดาแฟนๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งเกมเมอร์หรือผู้ใช้งานทั่วไป เนื่องจากเรื่องคุณภาพและความคุ้มค่า รวมไปถึงการสวมใส่ที่ให้ความสบายของหูฟังตัวนี้ ล่าสุดทาง HyperX ก็ขอสานต่อหูฟังเกมมิ่งยอดนิยมนี้ด้วยการเปิดตัว Cloud III หูฟังเกมมิ่งตัวใหม่ที่ยังคงมุ้งเน้นไปที่คุณภาพในเรื่องของเสียงและความรู้สึกสบายในการสวมใส่ใช้งาน แต่ยกระดับให้เหนือไปอีกขั้นเพื่อแฟนๆ ของ HyperX
ทางเราได้รับหูฟัง Cloud III มาใช้งานได้ซักระยะแล้ว วันนี้ก็เลยจะมาแกะกล่องรีวิวและบอกเล่าถึงประสบการณ์ในการใช้งานให้ทุกคนได้อ่านกันครับ
แกะกล่อง
สำหรับกล่องของ HyperX Cloud III นั้น แพ็คเกจภายนอกมาในโทนสีขาว-แดงเรียบหรูที่เรามักจะเห็นกันบ่อยในช่วงหลังสำหรับสไตล์นี้ของสินค้า HyperX ซึ่งด้านหน้านั้นมีรูปหน้าตาของตัวหูฟัง Cloud III ให้เราได้เห็นกันอย่างชัดเจน พร้อมกับฟีเจอร์สำคัญๆ ที่บอกมาแบบครบครัน ส่วนด้านข้างกล่องกับหลังกล่องก็จะเป็นรายละเอียดฟีเจอร์สำคัญบางส่วนให้ดูกันเพิ่มเติม
เมื่อแกะกล่องออกมาจะพบตัวหูฟังที่อยู่ในกล่องซึ่งเก็บเอาไว้อย่างดี มีฝาปิดกันกระแทรกเข้ากับรูปทรงของหูฟัง พร้อมกับลูกเล่นซ่อนพวกคู่มือกับสายและอุปกรณ์เสริมไว้ที่ด้านล่างอีกชั้น มีการเก็บไมค์และสายต่อ USB เอาไว้แบบเป็นระเบียบ
อุปกรณ์ภายในกล่อง
– หูฟัง HyperX Cloud III
– ไมโครโฟนชนิดถอดเก็บได้
– USB-C to USB A
– USB Dongle ไว้ต่อ 3.5 mm เข้ากับ USB
– คู่มือ
การออกแบบ
สำหรับการออกแบบนั้น หูฟังเกมมิ่ง HyperX Cloud III ถ้ามองผ่านๆ แล้วรูปทรงจะคล้ายกับรุ่นที่แล้ว แต่มีรายละเอียดหลายส่วนที่ถูกปรับปรุงใหม่ให้ดียิ่งขึ้น หลักๆ จะเป็นหูฟัง full size ที่มี ear cup ขนาดใหญ่เมื่อสวมใส่จะครอบไปทั้งใบหูเลย ที่สำคัญตรงส่วนฟองน้ำที่ครอบหูฟังจะเป็น Memory Foam ที่ช่วยทำให้สวมใส่แล้วนุ่มสบาย มีการออกแบบมาให้สอดรับกับใบหู เวลาใส่นานๆ จะรู้สึกว่าสบายไม่เจ็บหูรวมถึงมีการเจาะรูไว้ระบายอากาศอีกด้วย และยังมีโลโก้ HyperX อยู่ที่ฝาครอบหูฟังทั้งสองด้านเพียงแต่ไม่ได้มีพวกไฟ RGB แต่อย่างใด ส่วนโครงของหูฟังจะเป็น Durable Metal Frame หรือวัสดุโลหะที่คงทน แข็งแรง เป็นสีแดงทั้งสองข้างที่ให้อารมณ์ดุดัน สามารถปรับระดับความยาวของตัวหูฟังได้ เมื่อลองจับๆ ยืดๆ บิดไปมาดูก็พบว่ามันยืดหยุ่นและดูทนทานเอามากๆ ส่วนด้านบนของหูฟังก็จะเป็น Memory Foam แผ่นเสริมที่แถบคาดศีรษะให้ความรู้สึกสบายเวลาสวมใส่เช่นกัน
ที่ตัวหูฟังด้านขวาจะมีปุ่นสำหรับเลื่อนเพิ่มหรือลดเสียงได้ และจะมีช่องสำหรับเสียบไมค์ที่สามารถปรับถอดเข้าถอดออกได้ ซึ่งไมค์เองได้รับการออกแบบใหม่แบบ 10 mm มาพร้อมตัวกรองเสียงปะทุแบบตาข่ายโลหะที่อยู่ภายใน ช่วยลดเสียงรบกวน ให้การสื่อสารที่ชัดเจนเวลาคุยกับเพื่อนทั้งในตอนเล่นเกมหรือพูดคุยปกติทั่วไป นอกจากนี้ยังมีไฟ LED บอกสถานะเวลาที่ปิดไมค์หรือ Mute Mic ให้เห็นด้วย ทั้งนี้ในส่วนของหูฟังด้านซ้ายจะมีแค่ปุ่มปิด/เปิดไมค์ปุ่มเล็กๆ อยู่เท่านั้น ส่วนสายของหูฟังจะเป็นสายแบบถักดูคงทนแข็งแรงเช่นกัน ซึ่งจะมาเป็นแบบหัว 3.5 mm และพิเศษไปกว่านั้นยังมี USB Dongle ไว้ต่อ 3.5 mm เข้ากับ USB รวมถึงยังมีหัวแปลงเสียบ USB C อีกต่างหาก บอกเลยว่าสามารถใช้งานได้ครบครันทั้งบน PC, PS5, PS4, Xbox Series X|S, Xbox One, Nintendo Switch และมือถือ โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงใหม่ๆ ที่เป็นช่อง USB C ก็สามารถใช้ได้
คุณภาพเสียง
HyperX Cloud III จะใช้ไดร์เวอร์ชนิดไดนามิคขนาด 53 mm ที่ออกแบบมาใหม่เพื่อให้คุณภาพของเสียงที่ดีขึ้น รองรับระบบเสียง DTS Headphone:X ที่ให้มิติและความสมจริงของเสียงที่แม่นยำ ช่วยให้การเล่นเกมพวก FPS นั้นสามารถที่จะแยกทิศทางของเสียงได้ดี ไม่ว่าจะมาจากซ้ายขวา หน้าหลัง หรือเสียงใกล้ไกลด้วยเช่นกัน ส่วนการนำไปดูหนังฟังเพลงก็ถือว่าให้คุณภาพเสียงที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว ทั้งเสียงสูง เสียงเบส โดยขึ้นอยู่กับการตั้งค่าเรื่องของเสียงตามสไตล์ความชอบของแต่ละคนด้วย
การใช้งาน
ส่วนตัวผู้เขียนถือว่ามีไลฟ์สไตล์หนักไปทางด้านการเล่นเกมอยู่แล้ว การทดสอบใช้งานหูฟัง HyperX Cloud III จึงนำไปใช้ฟังในเรื่องของเกมเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งต้องบอกว่าด้วยระบบเสียงแบบ dts X นั้นทำให้การเล่นเกมพวก FPS อย่าง CSGO หรือ Valorant ให้รายละเอียดที่แม่นยำมาก ไม่ว่าจะเสียงปืนมาจากด้านไหน หรือแม้กระทั่งเสียงฝีเท้ายังได้ยินชัด ส่วนพวกเกมเนื้อเรื่องหรือเกมผีแบบหลอนๆ ที่เน้นบรรยากาศของเสียงก็ทำให้เพิ่มอรรถรสในการเล่นได้เสียวสันหลังวาบ โดยการใช้งานนั้นจะเชื่อมต่อแบบ USB ตัวซาวด์การ์ดเข้ากับ PC
ด้วยความที่ HyperX Cloud III มีพอร์ตการเชื่อมต่อที่หลากหลายก็ไม่พลาดที่จะนำไปใช้งานบนเครื่องเกมคอนโซลอย่าง PS5 ด้วยเช่นกัน ซึ่งเรื่องเสียงนั้นไม่ทำให้ผิดหวังอยู่แล้วแต่ที่ทำให้ชอบมากขึ้นไปอีกก็คือความสบายและความเบาในการสวมใส่สมกับชื่อ Cloud ที่ทำให้การเล่นเกมนานๆ นั้นไม่ปวดหูอีกต่อไป แต่มีข้อสังเกตุตรงที่เมื่อเปิดเสียงจนสุดจะมีเสียงลอดออกมาพอสมควร อาจจะทำให้คุณแม่บ้านที่นั่งอยู่ข้างหงุดหงิดเอาได้ T^T แต่เท่าที่ลองใช้ฟังมาก็ไปจำเป็นที่จะต้องเปิดจนสุดก็ได้คุณภาพของเสียงที่ชัดเจนอยู่แล้ว ถือเป็นหูฟังที่จบครบได้ทั้งความคุ้มค่า ความสบาย และความคงทนในการใช้งานที่แฟนๆ ไม่ควรพลาดครับ
สำหรับหูฟังเกมมิ่ง HyperX Cloud III จะพร้อมวางจำหน่ายในประเทศไทย วันที่ 6 มิถุนายน 2023 เป็นต้นไป สนนราคา 3,090 บาท หากใครสนใจก็รอติดตามกันได้ผ่านร้าน HyperX Flagship Store ในแพลตฟอร์มออนไลน์และช่องทางจำหน่ายต่าง ๆ ของ HyperX
  • HyperX Cloud III (สีแดง) – HyperX Flagship Store ใน Shopee | Lazada
  • HyperX Cloud III (สีดำ) – HyperX Flagship Store ใน Shopee | Lazada
คุณสมบัติโดยรวม HyperX Cloud III
เฮดโฟน
-ไดรเวอร์: 53 มม.  แบบไดนามิกพร้อมแม่เหล็กนีโอดิเมียม
-ฟอร์มแฟคเตอร์: แบบครอบหู, แบบฟูลไซส์ (Circumaural), แบบปิด
-ความถี่: 10Hz-21kHz
-ความต้านทาน: 64 Ω
-ความไว: 100 dBSPL/mW ที่ 1 kHz
-T.H.D: <2%
-ประเภทกรอบ: อะลูมิเนียม
-ที่รองหูฟัง: เมมโมรี่โฟมและหนังเทียมเกรดพรีเมียม
ไมโครโฟน
-ส่วนประกอบ: ไมโครโฟนอีเล็คเตรทคอนเดนเซอร์
-รูปแบบการรับเสียง: ทิศทางเดียว พร้อมระบบตัดเสียงรบกวน
-ความถี่: 50Hz-17kHz.
-ความไว: -42dBV (0dB=1V/Pa ที่ 1kHz)
การเชื่อมต่อและคุณสมบัติ
-การเชื่อมต่อระบบเสียง: ใช้สายขนาด 3.5 มม. (4  ช่อง CTIA) สาย USB
-รูปแบบระบบเสียงแบบพอร์ต USB: สเตอริโอ
-ข้อมูลจำเพาะ USB: USB 2.0
-Sampling Rates: 44.1kHz, 48kHz, 96kHz
-ความลึกบิต: 16 บิต, 24 บิต
-ระบบเสียงเซอร์ราวด์ Virtual ในตัว: DTS Headphone:X
-ระบบควบคุมเสียง: ระบบควบคุมเสียงออนบอร์ด