หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ลองเล่น Blades of Fire เกมจากทีมพัฒนา MercurySteam และจัดจำหน่ายโดย 505 Games ในเวอร์ชั่นพรีวิวก่อนเกมวางจำหน่ายจริงไปแล้ว ล่าสุดตัวเกมก็ได้ออกมาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะไปดูกันว่าตัวเกมในเวอร์ชั่นเต็มนั้นน่าเล่นหรือมีอะไรที่น่าสนใจกันบ้าง ไปติดตามรีวิวกันได้เลยครับ
การกลับมาของ MercurySteam สตูดิโอสัญชาติสเปนผู้เคยสร้างตำนานบทใหม่ให้กับ Castlevania ด้วยซีรีส์ Lords of Shadow และทวงบัลลังก์ความยิ่งใหญ่ให้ Metroid Dread ถือเป็นข่าวใหญ่ของวงการเสมอ และครั้งนี้ พวกเขากลับมาพร้อมกับ IP ใหม่แกะกล่องภายใต้การจัดจำหน่ายของ 505 Games ในชื่อ Blades of Fire ที่สัญญาว่าจะมอบประสบการณ์แอ็กชันสุดดาร์กและเข้มข้นถึงใจ
ผู้เล่นจะได้สวมบทบาทเป็น Aran de Lira นักรบผู้มีอดีตอันลึกลับและภารกิจในการล้มล้างราชินีผู้ชั่วร้าย Nerea ที่เป็นผู้ใช้เวทมนตร์เปลี่ยนเหล็กให้กลายเป็นหินได้ ทำให้มนุษย์ไม่สามารถใช้โลหะในการต่อสู้ได้ ตัวของ Aran ได้รับพรจากค้อนเวทมนตร์และเตาหลอมวิเศษ ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ยังสามารถสร้างอาวุธเหล็กได้ และด้วยภารกิจล้างแค้น บวกกับปมอดีตเกี่ยวที่ข้องกับราชินี ทำให้เขาต้องออกเดินทางเพื่อสังหารราชินีด้วยตัวเอง โดยมีนักปราชญ์หนุ่มชื่อ Adzo ร่วมเดินทางไปด้วย ซึ่ง Adzo นั้นมีความสามารถในเรื่องของความรู้และสามารถอ่านภาษาโบราณได้
ก่อนอื่นมาพูดถึงกราฟิกของเกมกันก่อน Blades of Fire พัฒนาโดยใช้เอนจิ้นของ MercurySteam เอง ทำให้งานภาพมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จริงๆ ในเวอร์ชั่นตัวเต็มที่ออกวางจำหน่ายนี้รู้สึกได้ว่ากราฟิกและความลื่นไหลในงานภาพนั้นดูสวยงามและดีกว่าเวอร์ชั่นที่ได้ทดลองเล่นไปก่อนหน้านี้ ทั้งในส่วนของรายละเอียดโมเดลตัวละคร เสื้อผ้า อาวุธ มอนสเตอร์ รายละเอียดฉากสภาพแวดล้อม ป่าเขา ซากโบราณปรักหักพัง ไปจนถึงปราสาทต่างๆ ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว แสงเงา Effect กับพวกความคมชัด สีสัน ถือว่าน่าสนใจขึ้น เพียงแต่สไตล์ของงานภาพจะยังคงเป็นแบบเกม Action RPG แฟนตาซี สไตล์ตะวันตกในอดีตที่ออกจะดูเก่าและตกยุคไปซักหน่อย
เสียงพากย์กับเพลงประกอบก็ทำได้ดี แต่เรื่องการเคลื่อนไหวของตัวละครนั้นยังคงให้ความรู้สึกที่แปลกๆ ดูเทอะทะไปบ้าง แต่เรื่องการต่อสู้นี่รวดเร็วและจัดเต็มเลือดสาดท่วมจอ แขนขาขาดรุนแรงใช่ย่อยเลยทีเดียว
ทางด้านของเกมเพลย์นั้นเกมนี้นำเสนอโลกสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนเต็มไปด้วยความอันตราย ผู้เล่นจะได้สำรวจปราสาทขนาดใหญ่ ซากปรักหักพัง และสถานที่ต่างๆ ที่เต็มไปด้วยศัตรูและปริศนา ออกเดินทางทำภารกิจไปพร้อมกับการต่อสู้กับศัตรูทั้งขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่สุดโหด ซึ่งรวมๆ แล้วก็มีความเป็นเกมแนวโซลไลค์อยู่พอสมควร เกมนี้นำเสนอระบบการต่อสู้ที่เน้นความแม่นยำและการใช้กลยุทธ์ ผู้เล่นสามารถเลือกโจมตีส่วนต่างๆ ของร่างกายศัตรู เช่น หัว ลำตัว หรือขา โดยใช้ทักษะการโจมตีแบบฟัน แทง หรือทุบ ซึ่งจะแสดงให้เห็นเป็นสีต่างๆ ที่ตัวของศัตรูอย่างชัดเจน เช่น สีเขียวสามารถโจมตีได้เปรียบและรุนแรง หรือสีแดงจะโจมตีไม่เข้า ต้องลองเปลี่ยนไปใช้อาวุธชนิดอื่นหรือเปลี่ยนสไตล์ในการโจมตีเป็นต้น อาวุธก็จะมีมากมายหลายชนิด ทั้ง ดาบ, ดาบใหญ่, มีดสั้น, ค้อน หรือ หอก เป็นต้น
ระบบอาวุธคือสิ่งสำคัญมากของเกมนี้ โดยเฉพาะจุดเด่นของเกมในเรื่องระบบการตีเหล็ก ที่ผู้เล่นต้องใช้ทักษะในการตีเหล็กเพื่อสร้างอาวุธที่มีประสิทธิภาพ นั่นทำให้ระบบตีเหล็กถือเป็นหัวใจหลักของเกมนี้เลยทีเดียว ผู้เล่นสามารถปรับแต่งอาวุธได้หลากหลาย โดยการเลือกวัสดุและรูปแบบต่างๆ เช่น ความยาวของด้าม ความหนาของใบมีด และวัสดุที่ใช้ในการสร้างอาวุธ ซึ่งจะส่งผลต่อความทนทาน ความเร็ว และความสามารถในการเจาะเกราะของอาวุธนั้นๆ ในการตีเหล็กก็จะเป็นเหมือนมินิเกมเล็กๆ ให้เราตีและปรับแต่งให้กราฟค่าความร้อนอยู่พอดีกับเส้นสีขาว ซึ่งถ้าตีได้หลายดาวก็จะทำให้อาวุธชิ้นนั้นสามารถซ่อมแซมได้หลายครั้งอีกด้วย
พวกวัตถุดิบในการตีเหล็กสร้างอาวุธก็จะสามารถหาได้จากการจัดการศัตรู การทำลายข้าวของในฉาก การทำเควสท์ และอาวุธบางอย่างผู้เล่นจะต้องหาแบบแปลนของอาวุธนั้นๆ มาก่อนด้วยจึงจะสามารถสร้างได้ ซึ่งแน่นอนว่าอาวุธทุกชิ้นภายในเกมนี้ต้องตีขึ้นมาเองทั้งหมด แถมในช่วงท้ายเกมอาวุธบางชิ้นจะเกี่ยวเนื่องกับภารกิจเนื้อเรื่องด้วย การจะเข้าไปตีเหล็กทำได้ด้วยการสำรวจค้นหา ทั่งเหล็ก (Anvils) ซึ่งทำหน้าที่เป็นจุดเช็คพอยต์ เปรียบเสมือน “กองไฟ” ของเกมแนว Souls ผู้เล่นสามารถซ่อมแซมอาวุธและพักผ่อนที่นี่ได้ แต่การพักจะทำให้ศัตรูส่วนใหญ่เกิดใหม่ ทั่งเหล็กยังสามารถใช้เป็นจุดเดินทางด่วนได้ ทำให้การค้นหาและปลดล็อกพวกมันเป็นเรื่องสำคัญ และเมื่อเราตายจะเป็นการสูญเสียอาวุธที่ใช้อยู่แทน และจะได้คืนก็ต่อเมื่อสามารถกลับไปยังจุดที่ตาย
ส่วนตัวผู้เขียนเองปัญหาที่เล่นไปจนจบของ Blades of Fire นอกจากตัวเกมจะยากแบบสุดโหดแล้ว การที่เกมไม่มีมินิแมพอยู่บนหน้าจอก็ถือเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดไม่น้อย เพราะการออกแบบพื้นที่ต่างๆ ในเกมนี้มันค่อนข้างซับซ้อนอย่างมาก หลายทางเชื่อมต่อกัน แถมยังมีชั้นบน ชั้นล่าง และการกลับไปปลดล็อคเส้นทางที่รู้สึกว่าอีรุงตุงนังไปซะหมด ยังดีที่มี World Map ให้ดูพื้นที่ได้บ้างแต่ก็ต้องเสียเวลากดเข้ากดออกเมนูจนน่ารำคาญ ดังนั้นความท้าทายอย่างมากของเกมนี้นอกจากจะโดนมอนสเตอร์รุมจนตายแล้วก็คือการต้องคอยจำเส้นทางที่วกวนนี่แหละ แต่ทั้งนี้ก็เป็นปัญหาส่วนตัวเท่านั้น บางคนอาจจะชอบก็ได้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละท่านครับ
สรุปภาพรวม Blades of Fire เป็นเกมที่ท้าทายอีกหนึ่งเกม เหมาะกับคนที่ชอบเกมแนว Souls จุดเด่นของเกมในเรื่องระบบตีเหล็กเองแรกๆ ก็น่าสนใจและแปลกใหม่ แต่พอเล่นไปซักพักรู้สึกว่ามันซ้ำๆ และเริ่มเบื่อ สิ่งหนึ่งที่ยังน่าสนใจคือเนื้อเรื่อง การต่อสู้กับศัตรู และความท้าทายของบอสแต่ละตัวที่คิดว่าสู้สนุก ใครที่สนใจเกมแนวนี้ก็ลองไปหามาเล่นกันได้ หรือจะรอสอยช่วงลดราคาก็น่าจะดีกว่าครับ
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของเกมนี้ได้ที่ https://bladesoffire.com/en/
นักเขียนยุคบุกเบิกที่เล่นเกมมันทุกแพลตฟอร์ม เล่นทุกวัน เล่นมันทุกแนววววว