ช่วงนี้มีเกมออกมาให้เล่นกันเยอะมากๆ ซึ่งหนึ่งในเกมรีมาสเตอร์ที่น่าสนใจอย่าง Days Gone Remastered ก็มีวางจำหน่ายให้ได้เล่นแล้วเช่นกัน จากเกมดังในยุค PS4 สู่คุณภาพและประสิทธิภาพที่ดีกว่าบน PS5 และ PS5 Pro วันนี้เราจะมารีวิวรายละเอียดของเกมนี้และความรู้สึกหลังจากที่ได้ลองเล่นเวอร์ชั่นนี้ให้อ่านกัน
Days Gone คือหนึ่งในเกมเอาตัวรอดแนวโอเพ่นเวิลด์ที่ได้รับความสนใจมากที่สุดของ PlayStation ในยุค PS4 แม้จะเปิดตัวด้วยเสียงวิจารณ์ที่หลากหลาย แต่ก็ยังสามารถสร้างฐานแฟนเหนียวแน่นได้จากเนื้อเรื่องเข้มข้น บรรยากาศสิ้นหวัง และการต่อสู้กับฝูง “ฟรีกเกอร์” ที่น่ากลัว Days Gone Remastered กลับมาโลดแล่นอีกครั้งบน PlayStation 5 ด้วยการปรับปรุงคุณภาพกราฟิกให้คมชัดยิ่งขึ้น ระยะการแสดงผลของฉากที่กว้างขึ้น เงาและแสงที่สมจริงยิ่งกว่าเดิม รองรับ Tempest 3D Audio, VRR, และฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย ผู้เล่นสามารถเลือกประสบการณ์การเล่นที่ต้องการได้ระหว่าง โหมด Quality สำหรับความละเอียดที่สูงขึ้น หรือ โหมด Performance เพื่อเฟรมเรตที่ลื่นไหลยิ่งขึ้น และด้วยพลังของ PlayStation 5 Pro Days Gone เวอร์ชันนี้จึงสวยงามและสมจริงกว่าที่เคยบนคอนโซลของ PlayStation
สำหรับแฟนๆ ของเกมนี้บน PC ทุกคอนเทนต์และฟีเจอร์ใหม่ จะมาพร้อมกับ Days Gone บน Steam และ Epic Games Store ด้วยเช่นกัน และสำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของ Days Gone เวอร์ชัน PC อยู่แล้ว สามารถซื้อ DLC “Broken Road” เพื่ออัปเกรดตัวเกมได้เช่นกัน
ในด้านของกราฟิกเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์นี้ถือเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุด มีการรองรับความละเอียดสูงสุดระดับ 4K พร้อม เฟรมเรต 60fps คงที่ บน PS5 และ PC รุ่นใหม่ รายละเอียดของพื้นผิวเทกเจอร์, เงา, เอฟเฟกต์แสง, และสภาพแวดล้อมโดยรวมถูกปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้น ภูมิประเทศในรัฐ Oregon ที่เต็มไปด้วยป่าเขา ทะเลสาบ และเมืองร้างจึงดูมีชีวิตชีวาและสมจริงยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนหรือขณะฝนตกที่สภาพอากาศส่งผลต่อการเล่นได้อย่างชัดเจน ในเวอร์ชั่น PS5 รุ่นธรรมดาจะมีให้เลือกปรับ Quality Mode ที่จะเน้นภาพระดับ 4K พร้อมเฟรมเรตคงที่ 30 FPS ส่วนโหมด Performance Mode จะได้สเกลของภาพที่ลดลงมาเหลือ 1440p แต่เฟรมเรตจะแตะที่ 60 FPS ซึ่งเล่นกันได้แบบไหลลื่นมาก ส่วนของเวอร์ชั่น PS5 Pro จะมีโหมดที่เลือกปรับเพิ่มขึ้นมาคือ Enhanced Mode ที่สามารถอัปสเกลภาพได้ถึง 4K พร้อมเฟรมเรต 60 FPS
เอาจริงๆ ในญานะที่เคยเล่นมาก่อนสมัยเวอร์ชั่น PS4 แล้วมาลองเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์ งานภาพบางอย่างก็เหมือนจะดูดีขึ้น แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างกันแบบก้าวกระโดดอะไรมาก แถมบางมุมดูแสงเงาจะแปลกๆ กว่าเวอร์ชั่นดั้งเดิมด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ดีขึ้นเลยต้องยกให้เรื่องของการโหลดฉากที่ไวขึ้นแบบทันตาเห็นนั่นเอง
เสียงในเกมก็ได้รับการรีมาสเตอร์ใหม่ด้วยเช่นกัน รองรับ ระบบเสียง 3D Audio สำหรับหูฟังหรือชุดเครื่องเสียงที่รองรับบน PS5 ซึ่งช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่น โดยเฉพาะเวลาขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าป่า หรือได้ยินเสียงฝูงฟรีกเกอร์แว่วมาแต่ไกล การออกแบบเสียงใหม่ให้ความรู้สึกตื่นเต้นและสั่นประสาทยิ่งกว่าเดิมเลยทีเดียว
ในด้านของฟีเจอร์ใหม่และโหมดที่เพิ่มเข้ามาก็จะมี Permadeath Mode ที่จะมาเพิ่มความท้าทายในการเล่นยิ่งขึ้นด้วยการเล่นแบบห้ามตาย ถ้าหากใครตายก็จะเป็นการตายถาวรต้องเริ่มเล่นใหม่ตั้งแต่ต้นเท่านั้น ส่วนอีกอย่างคือ Speedrun ให้คนที่ชอบทำเวลาในการเล่นได้มาแข่งกันเล่นโหมดเนื้อเรื่องว่าใครใช้เวลาได้เร็วที่สุดแล้วบันทึกเป็นสถิติเอาไปอวดคนอื่นได้
อีกหนึ่งโหมดให่ที่น่าสนใจมากก็คือ Horde Assault ที่เน้นเกมเพลย์แบบเอาตัวรอดและทำคะแนนสูงสุด ท้าทายผู้เล่นด้วยฝูง ฟรีกเกอร์ และศัตรูสุดโหดที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ และมากันแบบเยอะมาก ๆ ตามระยะเวลาที่อยู่รอด ซึ่งสามารถปลดล็อกตัวละครใหม่ ป้ายผ้าสุดเท่ และ Injector พิเศษ พร้อมอัปเกรดอุปกรณ์ให้แกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ในสมรภูมิสุดเดือดนี้ได้
ส่วนอื่นๆ ในด้านเกมเพลย์ที่มีการปรับเล็กน้อยก็คงเป็นเรื่องของระบบการขับขี่มอเตอร์ไซค์ได้รับการ “จูน” ใหม่ให้ตอบสนองไวและสมจริงมากขึ้น รวมถึง AI ของศัตรูที่ดูฉลาดขึ้นเล็กน้อย ฟรีกเกอร์ในบางพื้นที่มีพฤติกรรมที่รุนแรงและเปลี่ยนรูปแบบการเคลื่อนไหว ทำให้ต้องวางแผนการสู้รบมากขึ้น ขณะที่กลุ่มมนุษย์ศัตรูก็มีการวางแผนจู่โจมและเคลื่อนที่เป็นกลุ่มมากขึ้นเช่นกัน ในด้าน UI/UX มีการปรับปรุงเมนูให้ลื่นไหลมากขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มระบบ quick swap สำหรับอาวุธ และปรับ HUD ให้สะอาดตา
หากใครที่เล่นด้วยจอย DualSense ก็จะมอบประสบการณ์ใหม่ในการเล่นที่ยอดเยี่ยม ระบบ adaptive triggers ทำให้การยิงปืนแต่ละแบบรู้สึกแตกต่าง และ haptic feedback ให้ความรู้สึกถึงแรงกระแทกเวลาขับชน หรือวิ่งผ่านฝูงฟรีกเกอร์ที่กำลังไล่หลังมาอย่างบ้าคลั่ง เรียกว่าเล่นสนุกขึ้นมากจริงๆ
สรุปภาพรวมของ Days Gone Remastered อย่างที่บอกไว้แล้วว่ามันเป็นเกมที่สนุก แต่ถ้าพูดด้านงานภาพกราฟิกและถ้าใครเคยเล่นมาก่อนอาจจะไม่ค่อยรู้สึกความแตกต่าง แต่เวอร์ชั่นนี้ถือเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดในการเริ่มต้น ด้วยประสิทธิภาพที่เสถียร และการปรับแต่งที่ครอบคลุมทุกจุดที่เคยเป็นปัญหาในเวอร์ชันดั้งเดิม ส่วนผู้เล่นเก่าที่เคยเล่นจบแล้ว ก็ยังคุ้มค่าที่จะกลับมาอีกครั้งเพื่อสัมผัสโลกที่คุ้นเคยในรูปแบบที่สวยงาม ลื่นไหล และมีชีวิตชีวามากขึ้น รวมไปถึงพวกโหมดใหม่ๆ ที่ท้าทายขึ้น
No Game No Life !!




