วันนี้ทาง HyperX ส่งเมาส์เกมมิ่งมาให้เราได้ทดลองใช้กันอีกแล้ว แถมคราวนี้เป็นเมาส์ไร้สายสุดเบาหวิวเสียด้วย อย่าง HyperX Pulsefire Haste Wireless Gaming Mouse ที่เพิ่งวางจำหน่ายไปนั่นเองครับ ถือเป็นการนำเอารุ่น Pulsefire Haste เมาส์ไซส์กลางๆ มาอัพเกรดไปอีกขั้นด้วยการเชื่อมต่อแบบไร้สายให้สำหรับเกมเมอร์ได้ใช้งานกันแบบคล่องมือ สำหรับรุ่นนี้เราได้ตัวที่เป็นสีดำดุดันมาทดลองใช้งาน ซึ่งวันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับเจ้าเมาส์เกมมิ่งไร้สายสุดเบาตัวนี้ให้อ่านกันครับ
สเปคของเมาส์ไร้สาย HyperX Pulsefire Haste Wireless
– รูปร่าง: Symmetrical (แบบสมมาตร)
– น้ำหนัก 61 กรัม
– อายุแบตเตอรรี่: สูงสุด 100 ชั่วโมง
– เซ็นเซอร์: Pixart PAW3335
– ความละเอียด: สูงสุด 16000 DPI
– ค่า DPI ที่ตั้งได้: 400 / 800 / 1600 / 3200 DPI
– ปุ่ม: 6 ปุ่ม
– ความทนทานของปุ่มคลิกซ้าย/ขวา: 80 ล้านครั้ง
– การเชื่อมต่อ: แบบไร้สาย 2.4GHz / และแบบมีสาย
– Cable Type: HyperFlex USB-C to A ถอดได้
– Light Effects: Per-LED RGB lighting
แกะกล่อง
สำหรับกล่องของ HyperX Pulsefire Haste Wireless ถ้าจำกันได้ปกติรุ่นก่อนจะเน้นสีแดงเป็นหลัก แต่สำหรับคราวนี้มาในรูปแบบของกล่องแบบสีขาว-ดำ ขับรูปของเมาส์ให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น รวมถึงเน้นประโยคเด่นว่า “Ultra-Lightweight” บ่งบอกว่าเป็นเมาส์เกมมิ่งที่เบามากๆ สังเกตุได้จากรูปสัญลักษณ์ขนนกด้านล่างที่ระบุว่า 61g ซึ่งหมายความว่าเมาส์ตัวนี้มีน้ำหนักเพียง 61 กรัมเท่านั้น พร้อมกับโลโก้ของซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY ซึ่งเดี๋ยวจะไปกล่าวถึงในภายหลัง
ภายในกล่องเมื่อแกะออกมาแล้วจะพบกับเมาส์ที่ใส่มากับกล่องกันกระแทกสีดำพร้อมกับ USB Receiver ขนาดเล็กที่ทำหน้าที่เป็นตัวรับ-ส่งสัญญาณ WiFi เมื่อเอาไปเสียบกับ PC หรือโน๊ตบุ๊คแล้วด้วยความที่มีขนาดเล็กกระทัดรัดจึงทำให้ไม่เกะกะและประหยัดพื้นที่อย่างมาก และยังมีแผ่นกันลื่นที่ใช้แปะบนปุ่มกับแถบด้านข้างให้มาด้วยพร้อมกับคู่มือ ส่วนด้านล่างของกล่องกันกระแทกจะแกะออกมาแล้วพบกับสาย USB-A to USB-C และสามารถแปลงเป็น USB-A ได้ โดยสายจะเป็น HyperFlex USB Cable ไว้สำหรับใครที่ต้องการใช้งานแบบเสียบสายกับเสียบชาร์ทแบทนั่นเอง
ลักษณะรูปร่างของเมาส์
สัมผัสแรกที่เห็นด้วยตาก็คือลักษณะการดีไซน์ของเมาส์นั้นแทบจะไม่ต่างจากรุ่นมีสายอย่าง Pulsefire Haste เลย ตัวเมาส์มีขนาด M หรือแบบกลาง จับถนัดมือใช้งานได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่ด้วยความที่มีการเจาะรูแบบรังผึ้งเอาไว้ทำให้อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่เป็นโรคกลัวรู ประโยชน์ของมันนอกจากจะทำให้เมาส์มีน้ำหนักเบาแล้วยังช่วยในเรื่องของการระบายอากาศตรงอุ้งมือได้อย่างดี ช่วยให้เวลาที่จับไปนานๆ แล้วจะไม่รู้สึกเหนียวมือได้ง่าย
ด้านบนตรงปุ่มคลิ้กซ้าย-ขวาก็มีเจาะรูรังผึ้งไว้เช่นกัน การกดคลิกถือว่าตอบสนองได้ไว มีเสียงคลิกอยู่บ้างแต่ก็เป็นปกติ และยังมีปุ่มเล็กๆ ตรงกลางไว้สำหรับปรับ DPI กับปุ่มวงล้อหมุนหรือ Scroll mouse ที่ให้ความรู้สึกเวลาเลื่อนได้แบบมีสเตป ทั้งนี้ตรงตำแหน่ง Scroll mouse จะมีไฟ RGB แสดงอยู่ด้วยเพื่อความสวยงาม ส่วนด้านข้างด้านซ้ายตรงตำแหน่งนิ้งโป้งจะมีปุ่ม 2 ปุ่มให้กดอยู่ด้วย ไว้สำหรับเล่นเกม FPS หรือการตั้งค่ามาโคร และสุดท้ายด้านหน้าจะเป็นพอร์ต USB-C ที่เอาไว้ใช้งานสำหรับการเสียบด้วยสายที่ให้มา การเสียบชาร์ทแบทหรือการอัพเฟิร์มแวร์ต่างๆ
สำหรับด้านใต้เมาส์ก็ยังมีการใส่รูระบายแบบรังผึ้งมาให้เช่นกัน และส่วนตัวชอบการดีไซน์ช่องเอาไว้สำหรับใส่ตัว USB Receiver ไว้ตรงนี้มากเพราะมันทำให้พกพาไปไหนได้สะดวก นอกจากนี้จะมีปุ่มเล็กๆ สำหรับเอาไว้ปิด/เปิดการใช้งาน และตรงกลางจะเป็นเซ็นเซอร์ของเมาส์แบบ Pixart PAW3335
ซอร์ฟแวร์ HyperX NGENUITY
หลังจากที่เราเสียบตัว USB Receiver และเปิดใช้งานเมาส์เรียบร้อยแบบง่ายดายแล้ว แนะนำให้โหลดซอร์ฟแวร์ HyperX NGENUITY มาใช้งานด้วย เพราะมันเป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ในการปรับแต่งส่วนต่างๆ ของเมาส์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสีรูปแบบไฟ RGB การเพิ่มลดความสว่างได้ แถมยังสามารถปรับความเร็วในการติดต่อสัญญาณกับระบบได้เช่นกัน โดยสามารถปรับได้ที่ 125, 250, 500 และ 1000Hz หรือจะเป็นในส่วนของ Buttons ที่เราสามารถตั้งมาโครปุ่มหรือปุ่มคีย์ลัดต่างๆ ได้ และสุดท้ายกับ Sensor ให้เราได้ปรับใช้งาน DPI ในระดับต่างๆ
แต่สิ่งที่น่าสนใจใน HyperX NGENUITY คือมันมีโชว์พลังงานแบทเตอรรี่ของเมาส์ให้เราดูด้วยนี่แหละครับ เพราะที่ตัวเมาส์เองไม่ได้มีไฟหรืออะไรที่บอกเราได้เลยว่าตอนนี้แบทเหลืออยู่เท่าไหร่ ใครอยากรู้ก็ต้องเปิดดูในโปรแกรมนี้ได้เลย
ความรู้สึกหลังการใช้งาน
ก่อนอื่นเลยต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้ใช้แต่เมาส์แบบมีสายมาโดยตลอด อาจจะเพราะความคุ้นชินบวกกับความไม่ค่อยมั่นใจในเรื่องของสัญญาณการเชื่อมต่อ แต่พอมาลองจับ HyperX Pulsefire Haste Wireless ความรู้สึกแรกคงต้องยกให้กับความเบาของเมาส์ตัวนี้ที่เบาดั่งขนนกเลยจริงๆ มันคือความเบาแบบมีน้ำหนักพอดีๆ ทำให้สามารถลากเมาส์ได้แบบลื่นไหลและสบายข้อมือเอามากๆ ที่สำคัญสัญญาณในการเชื่อมต่อตลอดการใช้งานในหลายวันก็ไม่มีปัญหาให้เห็นเลย ทั้งการใช้งานปกติและการใช้งานในการเล่นเกม โดยเฉพาะพวกเกม FPS ต่างๆ การลากหรือตวัดเมาส์มันดูลื่นและมีอิสระมากกว่าเดิม ความรู้สึกแบบไม่มีสายมาให้เกะกะเลยมันเป็นแบบนี้นี่เอง !!!
ข้อดีอีกอย่างคืออายุการใช้งานแบตเตอรี่สูงสุดถึง 100 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ซึ่งบอกเลยว่าใช้งานได้หลายวันมากๆ ถ้าไม่ใช้ก็ปิดสวิชใต้เมาส์จะช่วยให้ประหยัดแบทไปได้พอสมควร แต่มีข้อเสียนิดหน่อยตามที่ได้กล่าวไปแล้วคือ มันไม่สามารถดูตรงเมาส์ได้เลยว่าเหลือแบทเท่าไหร่ จำเป็นต้องไปดูในโปรแกรม NGENUITY เท่านั้น ส่วนคนที่ใช้งานกับโน๊ตบุ๊คหรือพกพาออกไปนอกบ้านด้วยความเบาหวิวและความคล่องตัวในการใช้งานจึงน่าจะเป็นเมาส์ที่เหมาะมากเช่นกัน ใครสนใจก็ไปหาซื้อมาใช้กันได้เลย ราคาเพียงแค่ 2,690 บาทเท่านั้น
นักเขียนยุคบุกเบิกที่เล่นเกมมันทุกแพลตฟอร์ม เล่นทุกวัน เล่นมันทุกแนววววว