สำหรับใครที่ชอบเล่นเกมประเภทขับเคลื่อนด้วยเนื้อเรื่อง วันนี้เรามีเกมมารีวิวให้ได้อ่านกันอีกแล้ว โดยเกมนี้มีชื่อว่า Alfred Hitchcock – Vertigo ซึ่งความน่าสนใจของเกมนี้ก็คือมันถูกดัดแปลงมาจากหนังขึ้นหิ้งสมัยปี 1958 เรื่อง Vertigo และกำกับโดย Alfred Hitchcock แต่ในเวอร์ชั่นของเกมที่พัฒนาออกมานี้เหมือนกับว่าถูกนำมาแค่พล็อตกับจิตวิญญาณของหนังมาเท่านั้น ซึ่งได้ทีมพัฒนาสัญญาณสเปนอย่าง Pendulo Studios เข้ามารับหน้าที่ในการพัฒนา และมีทาง Microids เป็นผู้จัดจำหน่าย
Alfred Hitchcock – Vertigo คือเกม mystery adventure ที่มีเรื่องของ QTE หรือ Quick Time Event ปุ่มต่างๆ ขึ้นมาให้เรากดบนหน้าจอ ตามสไตล์ของเกมแนวเนื้อเรื่องทั่วไป ธีมหลักๆ ในเกมนี้จะเกี่ยวกับความคิดที่อยู่ในหัว เรื่องของจิตใจ อาการหลอน พร้อมกับการตั้งคำถามของเกมที่ระบุว่า คุณสามารถเชื่อในจิตใจของคุณเองได้หรือไม่?
เรื่องราวในเกมจะเกี่ยวกับนักเขียนที่ชื่อว่า Ed Miller ที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และรอดชีวิตเพียงคนเดียว โดยตัวเขาระบุว่าพร้อมกับยืนยันว่าในรถนั้นมีภรรยาและลูกสาวของเขาอยู่ด้วย เพียงแต่ในซากของรถยนต์ไม่พบคนอื่นอยู่เลย ไม่มีแม้กระทั่งศพ แถมหลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไป ตัวของ Ed Miller มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงจนต้องเข้ารับการบำบัด แต่จากการพูดคุยกับนักจิตวิทยา สิ่งที่เขาเล่าหรือพยายามพูดออกมาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นกับสิ่งที่อยู่ในจิตใจที่เขาเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น จริงๆ แล้วมันจะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ คือสิ่งที่เราจะต้องไปค้นหากันในเกมนี้
กราฟิกของเกมนี้จะออกมาในแนว 3D ภาพสไตล์การ์ตูน ที่ดูแล้วขัดใจในหลายๆ ส่วน ทั้งโมเดลตัวละคร รูปร่างหน้าตา หรือแม้แต่การขยับปากพูดของตัวละคร แถมเกมนี้เลือกใช้การพากย์ทับเสียงเข้าไปอีกในส่วนของการเล่าเรื่อง ทุกอย่างดูแข็งไปซะหมดเหมือนกับเกมเก่าในอดีต แต่ยังดีที่ในฉากมีการทำรายละเอียดต่างๆ ออกมาอยู่ในแบบที่แม้จะไม่สวยมากแต่ก็พอรับได้ แสงเงาพอใช้ ส่วนเพลงประกอบต่างๆ ก็เข้ากับบรรยากาศได้อย่างดี
เกมเพลย์ที่เราจะได้เจอก็คือ การนั่งดูเรื่องราวต่างๆ การกดปุ่ม QTE ไปจนถึงการเลือกตอบคำถามเลือกตัดสินใจ สลับไปกับการบังคับควบคุมตัวละครเดินไปมาในฉาก ซึ่งมันมีแค่นั้นจริงๆ เพราะอย่างที่บอกว่าตัวเกมขับเคลื่อนด้วยเนื้อเรื่อง สิ่งที่ทีมพัฒนาเน้นมากที่สุดเลยไปตกอยู่ที่เนื้อหาของเกมที่จะให้เราได้ติดตาม ค้นหาความจริง และพบกับบทสรุปของมัน มีหักมุม มีสิ่งที่เราไม่คาดคิดตั้งแต่ต้นไปจนจบ แถมแอบพบว่าการตอบคำถามหรือการตัดสินใจต่างๆ มันก็ไม่ได้ทำให้เกิดทางแยกหรือเปลี่ยนแปลงอะไรไปซักเท่าไหร่ เล่นจบแล้วก็คือจบเลยเพราะรู้เรื่องราวหมดแล้ว
สรุปภาพรวมแล้วความสนุกและน่าสนใจที่สุดของเกมนี้ก็อยู่ที่เนื้อเรื่องและบทพูดของตัวละคร ซึ่งจะเข้มข้นและชวนให้ติดตามไปจนจบ เพียงแต่ในพาร์ทของการเล่นนั้นกลับไม่มีอะไรเลย โอเคมันก็เป็นเกมที่เล่นง่ายเหมาะกับคนชอบเนื้อเรื่องไม่ต้องมีเกมเพลย์ซับซ้อน ถ้าใครชอบแนวๆ นี้ก็ลองไปหามาเล่นกันได้ ซึ่งมีวางจำหน่ายให้เล่นกันทุกแพลต์ฟอร์มด้วย
นักเขียนยุคบุกเบิกที่เล่นเกมมันทุกแพลตฟอร์ม เล่นทุกวัน เล่นมันทุกแนววววว